ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับงูกะปะ Calloselasma rhodostoma หรือที่เรียกว่า งูกะปะ Malayan pit viper เป็นสายพันธุ์งูที่พบในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบางพื้นที่ในเวียดนาม มันถือเป็นงูพิษที่สำคัญและเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในป่าเขา ป่าและพื้นที่ป่าบกสวน และบางครั้งอาจพบในบริเวณชนบทเช่นสวนผัก สวนเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
งูกะปะมีลักษณะพิเศษด้วยการมีหลุมเล็บสองชั้นที่หาง โดยใช้หลุมเล็บในการตรวจจับความร้อนเพื่อรับรู้สิ่งต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม ลักษณะทางกายภาพส่วนมากของงูกะปะจะมีลำตัวที่อ้วนและยาวราว 60-100 เซนติเมตร มีหัวเล็กกลมโต ดวงตาดูได้ชัดเจน และมีสีหลากหลายจากน้ำตาลเข้มถึงแดงอมส้ม มีลวดลายที่น่าสนใจบนลำตัวที่สามารถใช้เพื่อปกป้องตนเองได้ด้วยการปนเปื้อนกับสภาพแวดล้อม
งูกะปะเป็นงูพิษที่มีพิษที่เข้าไปกระทบต่อร่างกายของเหยื่อ รอยกัดอาจเกิดอาการบวมแดง อาการปวดรุนแรง และสามารถเกิดแผลเปื่อยๆ และอาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้ ในกรณีรุนแรงที่สุด การกัดจากงูกะปะอาจเกิดอาการหัวใจหยุดเต้น อ่อนแรงหรือเสียชีวิตได้ ดังนั้นหากถูกกัดโดยงูพิษชนิดนี้ ควรรีบนำผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาและการดูแลทางการแพทย์โดยเร็วที่สุดที่เป็นไปได้
งูกะปะ Calloselasma rhodostoma มีลักษณะอย่างไร
- ร่างกาย งูมีลำตัวอ้วนและยาวปานกลาง โดยมีความยาวประมาณ 60 ถึง 100 เซนติเมตร
- หัว หัวมีขนาดค่อนข้างใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยม
- ลำตัว มีรูที่ไวต่อความร้อนซึ่งได้รับการพัฒนามาอย่างดี โดยอยู่ระหว่างตาและรูจมูกในแต่ละด้านของหัว
- ดวงตา ดวงตามองเห็นได้ชัดเจน และเช่นเดียวกับงูพิษชนิดอื่นๆ พวกมันมีรูม่านตาแนวตั้ง
- สี สีของงูอาจแตกต่างกันไป โดยทั่วไปมีตั้งแต่เฉดสีน้ำตาล หรือสีเทาไปจนถึงสีน้ำตาลแดง การให้สีมักช่วยให้งูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของมัน
ลาย งูมีเครื่องหมายที่แตกต่างกันหลายแบบตามลำตัว ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่รูปแบบซิกแซ็กไปจนถึงรอยจ้ำ รูปแบบเหล่านี้ช่วยในการอำพราง - เกล็ด งูมีเกล็ด เป็นสัน ทำให้ผิวหนังมีเนื้อหยาบ
งูกะปะ Calloselasma rhodostoma มีพฤติกรรมอย่างไร
งูกะปะ Calloselasma rhodostoma มีพฤติกรรมเคลื่อนที่ตามเวลาของวันเหมือนสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ ซึ่งพบในบริเวณป่า มันมักจะเริ่มกิจกรรมของมันในช่วงเช้าและเย็นๆ ในระหว่างช่วงแดดร้อนในเวลากลางวัน มันมักจะพักผ่อนและหลับในที่ซ่อนตัว เช่น ใต้ใบไม้ ในรอยเพลี้ยหรือใต้ต้นไม้ที่แห้งและมักจะพักตัวในพื้นที่ที่มีความเย็น และร่มเงา
ดังนั้น ควรระมัดระวังเมื่อเข้าใกล้งูในสภาพแวดล้อมที่เหมือนงูกะปะอาจทำเสียงเหมือนงูเขี้ยวได้ การที่งูกะปะทำเสียงหรือเคลื่อนไหวเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมป้องกันตนเอง และมักจะหลบหนีจากมนุษย์หรือสัตว์ที่ใกล้เข้ามาโดยสังเกตและเร่งกิจกรรมเพื่อละเลยการต่อสู้ ดังนั้น การเก็บระวังและการที่เราไม่เข้าใกล้งูในสิ่งแวดล้อมที่เป็นที่อาศัยของมันจะเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อจากกัด
งูกะปะ Calloselasma rhodostoma พิษร้ายแรงแค่ไหน
งูกะปะ Calloselasma rhodostoma เป็นงูพิษที่มีพิษที่ร้ายแรงและเป็นอันตรายต่อมนุษย์ พิษของงูกะปะประกอบด้วยสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเหยื่อที่ถูกกัด อาการที่เกิดขึ้นจากการถูกกัดของงูกะปะอาจแตกต่างกันไปตามระดับของพิษ และความต้านทานของร่างกายของผู้ประสบภัย อาการสามารถรวมถึง
1. บวมและแผล บวมและแผลจะปรากฏตามที่ถูกกัด เริ่มจากจุดกัดและขยายออกไป
2. อาการปวดรุนแรง อาจมีอาการปวดรุนแรงที่จุดกัดและส่วนรอบๆ พื้นที่
3. ภาวะเลือดจาง พิษของงูกะปะอาจทำให้เกิดการหลุดเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถ้าไม่ได้รับการรักษาทันที
4. ผลกระทบที่ระบบต่างๆ ในร่างกาย พิษอาจกระทบต่อระบบประสาท ระบบหัวใจ เป็นต้น และสามารถทำให้เกิดอาการไม่ปกติในร่างกายได้
การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ แต่ในกรณีที่ถูกกัดโดยงูกะปะ ควรรีบนำผู้ประสบภัยไปยังโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่มีความรู้และความชำนาญในการรักษาโรคงูกะปะ เพื่อให้ได้การรักษาและการดูแลทางการแพทย์ที่เหมาะสม การให้ปฐมพยาบาลแบบถูกต้องเบื้องต้นอาจช่วยลดอาการและความรุนแรงของผลกระทบจากการกัดได้ด้วย
สิ่งที่ควรรู้เมื่อเจองูกะปะ Calloselasma rhodostoma
เมื่อคุณเจองูกะปะ Calloselasma rhodostoma หรืองูพิษชนิดอื่นๆ ในสภาพแวดล้อม นี่คือสิ่งที่ควรรู้และทำ
1. หลีกเลี่ยง การเข้าใกล้งูกะปะหรือสัตว์ป่าอื่นๆ ที่เป็นพิษ เพราะความอันตรายที่อาจเกิดขึ้น อย่ารบกวน อย่าพยายามรบกวนหรือสะท้อนกลับต่องู เพราะมันอาจทำให้งูรู้สึกอุบัติการณ์และกัด
2. ถอยห่าง หากคุณเห็นงูกะปะอยู่ในระยะที่ปลอดภัย โปรดยืนห่างออกไปให้ห่างจากมัน
3. ไม่ใช้มือหรือเท้า หลีกเลี่ยงการใช้มือหรือเท้าของคุณสัมผัสงู อย่างไรก็ตาม ควรระวังไม่ให้ส่วนของร่างกายมีสัมผัสกับงู
4. แจ้งหน่วยงาน หากคุณได้เห็นงูกะปะในพื้นที่ใกล้เคียงของคุณ ควรแจ้งปัญหาให้กับหน่วยรักษาด่วนหรือเจ้าหน้าที่สัตว์ป่า
5. รีบหาทางออก หากคุณต้องเดินผ่านพื้นที่ที่คาดว่าอาจมีงูกะปะ ควรคอยสังเกตและค้นหาทางออกที่ปลอดภัย
6. จำข้อมูล หากคุณถูกกัดโดยงูกะปะ ควรรีบประกาศข้อมูลสำคัญ เช่น เวลาที่กัด สถานที่ที่กัด และอาการที่คุณรู้สึก
8. พบแพทย์ หากถูกกัดโดยงูกะปะ รีบนำผู้ประสบภัยไปยังโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่มีความชำนาญในการรักษาโรคงูกะปะ การได้รับการรักษาทันเวลาจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรมแสตมป์ น้ำหนัก หรือความตาย
วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากโดนงูกะปะกัด
หากถูกงูหางกระดิ่งกัด การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นสิ่งสำคัญ นี่คือขั้นตอนในการดำเนินการ
- สงบสติอารมณ์ สงบสติอารมณ์และพยายามทำให้บริเวณที่ถูกกัดเคลื่อนที่ไม่ได้ สิ่งนี้สามารถชะลอการแพร่กระจายของพิษผ่านทางกระแสเลือดของคุณได้
- โทรขอความช่วยเหลือ โทรเรียกบริการฉุกเฉินทันทีหรือให้ใครสักคนพาคุณไปที่สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เวลาเป็นของสำคัญ
- อยู่นิ่งๆ หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น เนื่องจากอาจเพิ่มการไหลเวียนของพิษได้
- ตำแหน่ง รักษาแขนขาที่ถูกกัดให้อยู่ในระดับหรือต่ำกว่าระดับหัวใจเล็กน้อย วิธีนี้สามารถช่วยลดอาการบวมได้
- ถอดเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่รัดแน่นออก อาจเกิดอาการบวมได้ ดังนั้นให้ถอดเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือเครื่องประดับที่รัดแน่นออกใกล้กับบริเวณที่ถูกกัด
- อย่าตัดบาดแผล อาจทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ดูดพิษ ไม่แนะนำให้ดูดพิษทางปาก
- ใช้น้ำแข็ง ไม่ได้ช่วยอะไรและอาจทำให้เนื้อเยื่อเสียหายมากขึ้นได้
- ใช้สายรัดห้ามเลือด สายรัดอาจเป็นอันตรายได้และไม่แนะนำให้ใช้
- รักษาความสงบและติดตาม จับตาดูอาการของคุณ หากคุณมีสมาร์ตโฟน ให้ถ่ายรูปงูถ้าเป็นไปได้ แต่อย่าเสี่ยงต่อการถูกกัดอีก
- ไปพบแพทย์ แม้ว่าคุณจะไม่มีอาการรุนแรง แต่คุณก็ยังควรไปพบแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์สามารถประเมินความรุนแรงของการถูกกัดและจัดการการรักษาที่เหมาะสม รวมถึงการให้ยาต้านพิษ
โปรดจำไว้ว่าแม้ว่ามาตรการปฐมพยาบาลจะเป็นประโยชน์ แต่ก็ไม่สามารถทดแทนการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมได้ การถูกงูกัดมีความรุนแรงแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของงู ปริมาณพิษที่ฉีดเข้าไป และปฏิกิริยาของคุณแต่ละคน การไปพบแพทย์อย่างรวดเร็วเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
งูกะปะ Calloselasma rhodostoma เป็นงูพิษที่พบในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะหัวเป็นหัวกลมโต ดวงตาสีชมพูและดวงตาอยู่ด้านข้างของหัว ลำตัวอวบอ้วนและยาวราว 60-100 เซนติเมตร มีลวดลายที่น่าสนใจบนลำตัวที่ช่วยในการปกป้องตัวเอง สีของงูกะปะสามารถเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม และมีสภาพแวดล้อมที่เป็นที่อาศัยในป่าและบริเวณอื่นๆ งูกะปะเป็นงูพิษที่มีพิษที่ร้ายแรง อาการที่เกิดจากการถูกกัดอาจรวมถึงบวมและแผล อาการปวดรุนแรง ภาวะเลือดจาง ผลกระทบต่อระบบประสาท ระบบหัวใจ และอาจเกิดอาการหน้ามืด หรือช็อก การรักษาต้องการการรักษาทางการแพทย์โดยเร็ว รวมถึงการใช้โปรตีนต้านพิษ antivenom เพื่อลดอาการและความรุนแรงของผลกระทบจากการกัด หากคุณพบงูกะปะหรืองูพิษอื่นๆ ในสภาพแวดล้อม ควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้และรีบขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สายพันธุ์งูและสัตว์ป่าหรือหน่วยรักษาด่วน อย่าลืมทำความรู้จักกับพิษของงูและระวังการปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ในสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับงูกะปะ
- งูกะปะมีลวดลายที่น่าสนใจบนลำตัวเพื่อปกป้องตนเองอย่างไร
- ลำตัวของงูกะปะมีลวดลายที่ช่วยในการปกป้องตัวเอง โดยลายแบบที่อาจเป็นวงกลมหรือลายประหลาดๆ
- พิษของงูกะปะมีสารอะไรประกอบอยู่
- พิษของงูกะปะประกอบด้วยสารพิษที่มีโปรตีนและเอนไซม์ที่กระทบต่อร่างกายของเหยื่อ
- อาการที่เกิดขึ้นหลังจากถูกกัดโดยงูกะปะมีอะไรบ้าง
- อาการอาจรวมถึงบวมและแผลที่จุดกัด อาการปวดรุนแรง ภาวะเลือดจาง ผลกระทบที่ระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบประสาทและระบบหัวใจ
- ควรรักษาอย่างไรหากถูกกัดโดยงูกะปะ
- ควรรีบนำผู้ประสบภัยไปยังโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่มีความชำนาญในการรักษาโรคงูกะปะ และให้การรักษาเพื่อลดความรุนแรงของอาการ อาจให้โปรตีนต้านพิษ antivenom เพื่อช่วยลดผลกระทบของพิษ
- พิษของงูกะปะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเหยื่ออย่างไร
- พิษของงูกะปะสามารถส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบประสาท ระบบหัวใจ และระบบไต
บทความที่มา : ประโยชน์ของมะเฟือง สรรพคุณและข้อควรรู้เกี่ยวกับการทานมะเฟือง